วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของเ็ด็กหนุ่มชื่อ มัฏฐกุณฑลี

     มัฏฐกุณฑลี(มัด-ทะ-กุน-ทะ-ลี) เป็นเด็กหนุ่มเมืองสาวัตถี เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่เป็นคนรวยมากแต่สุดยอดของความขี้เหนียว จนชาวบ้านให้สมญานามว่า "อนินนปุพพกะ" แปลว่า "ผู้ไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย" แต่ถึงกระนั้นก็ยังอุตส่าเอาทองคำบริิสุทธิมาทำเป็นต่างหูให้ลูกชาย คนทั้งหลายจึงเรียกเด็กผู้นี้ว่า มัฏฐฑกุณฑลี ซึ่งแปลว่า "มีตุ้มหูเกลี้ยง" ตุ้มหูนี้พ่อเป็นคนลงมือทำให้เองไม่ได้จ้างช่างทองที่ไหนเพราะว่ากลัวจะเปลือง
     มัฏฐกุณฑลี เมื่ออายุได้ 16 ปีก็เกิดป่วยหนักเป็นวัณโรค คนยุคนั้นเรียกว่าโรคผอมเหลือง นอนซมทรมานอยู่หลายวัน คนเป็นพ่อกลับไม่พาไปหาหมอเพราะกลัวจะสิ้นเปลืองเงินทอง ฝ่ายแม่อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมใจอ่อน  อย่างดีก็แค่ไปถามหมอว่าคนที่มีอาการของโรคอย่างนั้นอย่างนี้ต้องให้กินยาอย่างไรหรือยาอะไร จากนั้นเขาก็เข้าป่าไปหาสมุนไพร รากไม้ ใบไม้ ที่เป็นตัวยาที่หมอแนะนำ มาผสมต้มทำเป็นยาให้ลูกดื่มกินแทนที่จะพาไปรักษา 
     มัฏฐกุณฑลี อาการไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรุดกับทรุดลงทุกวัน จนไม่สามารถที่จะเยียวยาได้ สุดท้ายพราหมณ์ผู้เป็นพ่อต้องยอมแพ้ในที่สุด ตัดใจไปตามหมอในหมู่บ้านให้มารักษาลูกชาย  แต่พอหมอมาเห็นอาการของคนไข้แล้วก็รู้ทันทีว่าหมดปัญญาจะรักษาให้ได้ จึงปฏิเสธการรักษาทุกรายไป 
     พ่อแม่ของมัฏฐกุณฑลี รู้แน่และทำใจเผื่อไว้แล้วว่าลูกชายตนคงไม่รอด  ขนาดนั้นฝ่ายพราหมณ์คิดกังวลไปถึงเรื่องเมื่อมีญาติพี่น้องหรือคนทั่วไปที่จะมาเยี่ยมอาการของลูกชายเกิดเขาเข้ามาในบ้านอาจจะมาพบเห็น สมบัติของตนที่มีมากมาย และอาจทำให้คนเหล่านั้นมีความโลภแล้วคิดไม่ซื่อกับสมบัติตนจะเป็นอันตรายเสี่ยงต่อความสูญเสีย ทรัพย์สมบัติที่ตนอุตส่าเฝ้าทะนุถนอมมานาน จึงให้คนรับใช้ ช่วยกันหามลูกชายไปนอนพักรักษาที่ลานหน้าบ้าน เผื่อใครที่คิดจะมาเียี่ยมจะได้ไม่ต้องเข้าไปในตัวเรือนบ้าน
     ในวันนั้น พระพุทธเจ้า ทรงเข้าฌาน ตรวจดูสัตว์โลก ก็ทรงทราบถึงอุปนิสัยของคนที่พระองค์ควรจะโปรด ทรงเห็นอุปนิสัยของ มัฏฐกุณฑลีว่าเป็นบุคคลที่สมควรโปรดพระองค์จึงเสด็จมาหา
     ขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงหน้าบ้านที่ เด็กหนุ่มนอนรักษาตัวอยู่ ฝ่ายมัฏฐกุณฑลี กลับอยู่ในท่าที่นอนหันหน้าเข้าบ้านหันหลังไปทางที่พระองค์ประทับยืนอยู่ พระพุทธเจ้ารู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เห็นพระองค์แน่จึงกระทำการเปล่งแสงรัศมีไปวาบหนึ่ง  มัฏฐกุณฑลี รับรู้ถึงพลังแห่งพุทธานุภาพได้ในทันที จึงหันหน้ามามอง ก็ได้พบกับพระศาสดา พลันเกิดความรู้สึกทดท้อในใจว่า "เหตุที่เพราะพ่อเราเป็นคนตระหนี่ี่ถี่เหนียว มีนิสัยเป็นคนพาล ช่วงที่เรามีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงก็เลยไม่เคยได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีประภาคเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐมิได้ถวายทาน หรือฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเลย มาบัดนี้แม้แต่จะยกมือกราบพระบาทก็ยังทำไม่ได้" เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ทำใจละลึกในพระพุทธคุณและน้อมจิตให้เกิดศัทธาและเลื่อมในพระศาสดา
     พระพุทธองค์เมื่อทราบว่า มัฏฐกุณฑลี สามารถทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ได้แล้วก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น เด็กหนุ่มก็สิ้นชีพแล้วไปเกิดในวิมานทอง เสมือนว่าหลับแล้วตื่นขึ้นมายังอีกที่หนึ่ง
     กล่าวฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ หลังจากสูญเสียลูกชายและได้จัดการฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้วก็เอาแต่ไปยืนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ป่าช้าที่ฝังศพลูกชาย ทุกวันคืนไปเป็นอันทำอะไร 
     ทางด้านเทพบุตรมัฏฐกุณฑลี หลังจากรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ในเทวโลกแล้ว ก็พิจารณาถึงทิพยสมบัติของตนแล้ว ก็รู้เห็นโดยตลอดว่าได้มาเพราะตนได้ทำจิตให้เลื่อมใสในพระศาสดาก่อนสิ้นลมหายใจ  ได้มองลงมาเห็นพราหมณ์บิดายืนร้องไห้ที่ป่่าช้า จึงแปลงกายลงมาเป็นมนุษย์หน้าตาคล้ายตนเองตอนยังไม่สิ้นชีวิตยืนกอนแขนร้องไห้เช่นกันแต่อยู่อีกฟากตรงข้ามกับพราหมณ์บิดา
     พราหมณ์เมื่อได้ยินเสียงคนร้องไห้ หันไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคล้ายบุตรตนจึงเดินเข้าไปหา
     "พ่อหนุ่ม, ดูท่านละม้ายคล้ายบุตรข้าพเจ้ามาก ท่านมายืนร้องไห้เพราะมีทุกข์อันใดรึ"
     "แล้วท่านล่ะ มีทุกข์อันใด" หนุ่มน้อยถามกลับ
     "ข้า โศรกเศร้าถึงบุตรคนเดียวของข้าที่ตายจากไป"
     "ส่วนข้าพเจ้า.. มีรถอยู่คันหนึ่ง ตัวรถเป็นทองคำล้วนผุดผ่องสวยงาม แต่ข้าพเจ้าหาล้อที่เหมาะสมกับตัวรถไม่ได้ ข้าพเจ้าคงต้องตรอมใจตายเพราะเรื่องนี้แน่ๆ"
     พราหมณ์ตกตะลึงในคำตอบของหนุ่มน้อย ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า"เด็กเอ๋ยเด็กน้อย! เจ้าต้องการล้อเงินหรือล้อทองล่ะ หรือแก้วมณีหรือโลหะก็บอกมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะหามาให้เจ้า"
     เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีคิดในใจว่า"พราหมณ์นี้ช่างเป็นไปได้ เมื่อตอนลูกของตัวเองป่วยหนักนั้น ไม่ยอมเสียเงินรักษาแม้แต่น้อย มาบัดนี้จะยอมจ่ายค่าล้อรถให้ไม่ว่าเป็นล้อเงินหรือล้อทอง...พราหมณ์ผู้นี้เป็นอันธพาลจริงๆ ...แต่เอาเหอะ เราจะล้อแกเล่นสักเล็กน้อย" 
     "ท่านพราหมณ์! จะหาสิ่งใดมาคู่ควรกับรถข้าพเจ้าไม่มีอีกแล้ว นอกจาก พระอาทิตย์กับพระจันทร์ ถ้าได้มาทั้งคู่ รถของข้าพเจ้าคงจะงามเยี่ยมหาสิ่งใดเทียมได้"
     พราหมณ์คิดในใจว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นบ้าแน่ๆจึงกล่าวว่า"เจ้าต้องการสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ เจ้าโง่เขลาเบาปัญญาเิกินไป ตายไปแล้วสักกี่ชาติเจ้าก็ไม่อาจนำเอาดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาทำล้อรถได้หรอก"
     เด็กหนุ่มกลับตอบย้อนไปว่า"ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ยังปรากฎให้ข้าพเจ้าเห็นอยู่ ข้าพเจ้ายังต้องการสิ่งที่พอมองเห็นได้ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นคือ ลูกชายที่ตายไปแล้ว ท่านว่าระหว่างเราใครบ้ากว่ากัน"
     พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็ได้สติ ยอมรับว่าเด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ตนเป็นคนโง่เขลากว่า เพราะต้องการสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีใครเคยเรียกคืนมาได้  พราหมณ์ได้กล่าวชมเชยกับหนุ่มนั้นว่า "ข้าเป็นผู้ที่กำลังร้อนรุ่มนัก ส่วนเจ้าคือคนที่ได้นำน้ำเย็นมารดราดคือความเห็นถูกให้ข้ากลายเป็นผู้เย็น เหมือนดังว่าเจ้านำน้ำมาดับไฟ ความกระวนกระวายทั้งปวงของข้าดับลงแล้ว ความเศร้าคิดถึงลูกก็บรรเทาลง คำของเจ้าประเสริฐนักช่วยดับความร้อนและความเศร้าในใจของข้าได้"แล้วพราหมณ์ก็ได้ถามว่าหนุ่มน้อยนี้เป็นใครมาจากใหน  เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี ก็บอกเขาไปตามตรงว่าเขาคือลูกชายของพราหมณ์ที่ตายไป ก่อนตายได้ทำกุศลอย่างใหญ่หลวงจึงได้ไปเกิดเป็นเทพ พราหมณ์สงสัยว่า อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นลูกชายตนทำทานหรือรักษาศีลอันใดเลย แล้วไปเกิดเป็นเทพด้วยบุญอะไร 
      เทพบุตรเลยเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดถึงที่บ้านให้พราหมณ์ได้ฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วทำให้พราหมณ์รู้สึกยินดีปราโมชเป็นอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า" น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ การทำอัญชลีกรรมแด่พระพุทธเจ้ามีผมถึงปานนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป  พราหมณ์ได้ปฏิญาณกับเทพบุตรว่า ตนจะรักษาศีล ให้ทานและเลื่อมในพระรัตนตรัย แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่ออาราธนาให้ไปเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น
      ณ เรือนของพราหมณ์ในวันต่อมา เมื่อพระพุทธองค์เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า "เหตุใด บุคคลที่ไม่เคยถวายทานแด่พระองค์ ไม่่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ แต่ได้ไปเกินในสวรรค์ ด้วยเหตุเพียงการทำจิตให้เลื่อมในในพระองค์อย่างเดียว"
      "พราหมณ์..ท่านถามเรื่องนี้กับเราอีกทำไม  ในเมื่อมัฏฐกุณฑลีก็ชี้แจงแก่ท่านไปแล้วนี่"
      พระศาสดาทรางทราบว่ามหาชนที่มาประชุมกัน ณ ที่นีั้ ยังไม่สิ้นสงสัยจึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาจากวิมาน แล้วพระองค์ก็สัมภาษณ์เรื่องราวต่างๆ และเทพบุตรก็ตอบตามความจริงทุกประการ
      มหาชนได้รับฟังการถามตอบระหว่างพระศาสดากับเทพบุตรแล้ว อุทานออกมาด้วยความปีติโสมนัสและเลื่อมในเป็นอย่างยิ่ง"ท่านทั้งหลาย ณ ที่นี่้ บุตรของพราหมณ์ไม่ได้ทำบุญอย่างอื่นเลย เพียงแต่ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้นยังได้อริยทรัพย์ถึงเพียงนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์นัก

     พระศาสดาจึงตรัสพระภาษิตว่า


     " สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ฯลฯ ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำ การพูดก็พลอยดีไปด้วย เพราะความดีนั้น ความสุขก็ติดตามมาเหมือนเงาตามตน"