วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระจักขุบาล ตอนที่ 2

    หลังจากสูญเสียดวงตาไปแล้วพร้อมกับการบรรลุเป็นอรหัตตผลของพระมหาบาล ในเช้าวันรุ่งขี้น เมื่อภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องก็รู้สึกเศร้าสลดใจจนน้ำตาไหล และได้ปลอบโยนท่านว่า "อย่ากังวลไปเลยพวกกระผมจะปฏิบัติต่อท่านมิให้ท่านลำบากใดเลย" ในพรรษานั้นเหล่าภิกษุทั้งหลายก็คอยปรนนิบัติดูแลพระมหาบาลอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เนื่องด้วยตัวท่านตาบอดทั้งสองข้าง ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าพระจักขุบาลนับแต่นั้น ส่วนพระจักขุุุบาลนั้นมีหน้าที่ให้โอวาทสั่งสอนภิกษุุทั้งหลายให้สำเร็จมรรคผล ท่านได้ทำหน้าที่จนภิกษุทั้งหลายได้สำเร็จอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้้ง4 ในพรรษานั้นเอง
    เมื่อออกพรรษาแล้วภิกษุทั้งหลายต้องกลับไปเฝ้าศาสดา ณ วัดเชตวัน จึงเรียนให้พระจักขุบาลทราบและชวนไปพร้อมกัน แต่ท่านกลับบอกว่าตัวท่านตาบอดเดินทางลำบากไม่อยากให้เดือดร้อนภิกษุรูปอื่น จึงไม่ยอมเดินทางไปด้วยแต่กลับขอฝากกราบพระบาทแห่งพระศาสดาพร้อมด้วยฝากนมัสการพระมหาสาวกทั้งหลาย และได้แจ้งข้อความไปยังน้องชายให้สรรหาบุคลกลับมารับตัวท่านไป
    ส่วนจุลบาลน้องชายพระเถระเมื่อทราบความทั้งหลายก็รู้สึกเศร้าสลดเสียใจอย่างยิ่ง จึงรีบให้ลูกชายของตนซึ่งเป็นหลานพระจักขุบาลเตรียมตัวไปรับพระเถระกลับ  ระหว่างทางที่จะไปรับนั้นมีอันตรายมาก ภิกษุทั้งหลายจึงแนะนำให้ลูกชายของจุลบาลออกบวชเป็นสามเณรเสียก่อนแ้ล้วค่อยเดินทาง เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงค่อยสึก หลังจากสามเณรได้บวชแล้วและทำการฝึกกิริยาอยู่ประมาณ 15 วัน ก็ออกเดินทาง
    เมื่อสามเณรเดินทางมาถึงหมู่บ้านก็มีชาวบ้านพาไปพบพระเถระ สามเณรได้เล่าเรื่องราวทั้งปวงให้พระจักขุบาลทราบ จากนั้นอีก 15 วันทั้งสองรูปก็ออกเดินทาง
     การเดินทางนั้นก็แสนจะลำบาก โดยที่พระจักขุบาลต้องส่งปลายไม้เท้าใ้ห้สามเณรจูงการเดินทางครั้งนี้จึงล่าช้ามาก เมื่อมาถึงชายป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่งเขตเมือง สังกัฏฐะ สามเณรได้ยินเสียงผู้หญิงชาวบ้านที่หาฟืนอยู่บริเวณนั้นร้องเพลงก็เกิดกำหนัดพอใจในเสียงอย่างมากไม่สามารถระงับความกำหนัดได้เนื่องด้วยสามเณรมิได้มีเจตนาบวชแต่บวชเพราะมีภารกิจ  สามเณรจึงขอกแก่พระจักขุบาลว่า ขอให้รออยู่ซักครู่ตนจะไปทำธุระเล็กน้อย แล้วปล่อยปลายไม้เท้าผละไป  พอสามเณรจากไปสักครู่หนึ่ง เสียงเพลงของหญิงชาวบ้านผู้นั้นก็เงียบไป สามเณรได้เสพเมถุนกับหญิงนั้นเสียแล้ว...
     "ไปกันเถอะครับ กระผมเสร็จธุระแล้ว" พระเถระรู้ว่าเณรทำลายศีลของตนแล้วจึงว่า  "เธอไปทำอะไรอยู่ตั้งนาน เธอไม่เป็นเณรแล้วรึ?"   สามเณรนิ่งไม่พูดอะไร พระเถระถามซ้ำหลายหนก็ไม่ยอมพูดจา  พระเถระจึงกล่าวว่า "เธอไปเสียเถิด อย่าจับปลายไม้เท้าของฉันเลย เธอชั่วเกินไปไม่ควรนำทางฉัน ฉันไม่ปรารถนาให้คนชั่วอย่างเธอจับปลายไม้เท้าฉัน ฉันไม่ต้องการติดตามหลังคนชั่วอย่างเธอ"
     สามเณรเกิดสังเวชสลดใจ จึงเปลื้องจีวรออก นุ่งห่มผ้าขาวอย่างคฤหัสถ์แล้วกล่าวว่า
     "ท่านลุง บัดนี้กระผมเป็นคนธรรมดาแล้ว โปรดไปกันเถอะ"  "อย่าเลยฉันไม่ไปกับเธอ" พระเถระยังยืนยันคำเดิม
     "ท่านลุง! เมื่อกระผมบวชก็มิได้บวชด้วยศรัทธา แต่เพระบวชด้วยกลัวอันตรายระหว่างเดินทาง บวชเพื่อมารับท่าน บัดนี้ ผมเป็นคฤหัสถ์แล้ว ไปกันเถอะท่าน"
     พระเถระกล่าวว่า "คฤหัสชั่วก็ตาม บรรพชิตชั่วก็ตาม ก็ชื่อว่าชั่วเหมือนกัน เธอนั้นดำรงตนอยู่ในเพศอันสูง ควรหลีกห่างจากความชั่ว ก็ยังเว้นความชั่วมิได้ ไม่สามารถประพฤติแม้แต่ศีลให้สมบูรณ์ เมื่อเป็นคฤหัสเธอจะเป็นคนดีได้อย่างไร เธอมีรั้วยังทำลายรั้วออกไป เมื่อไม่อยู่ในเขตอันไม่มีรั้ว เธอจะหลงระเริงสักเพียงใด อย่าเลย! อย่าจับปลายไม้เท้าของฉัน ฉันไม่ต้องการเดินทางร่วมกับคนอย่างเธอ"
     หลานชายอ้อนวอนให้่ท่านเดินทางไปด้วยกันอ้างว่าหนทางมีแต่อันตรายแต่พระเถระก็ยังคงยืนกรานอยู่นั่นเองและยังกล่าวเพิ่มเติมว่า"ฉันจะนอนกลิ้งเกลือกตายอยู่ที่นี่ก็ได้แต่ไม่มีทางเดินทางร่วมกับคนอย่างเธอ เพราะความเป็นสหายไม่มีในคนพาล"
     หลานชายของท่านเกิดสังเวชสลดใจในกรรมของตน ร้องไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่แล้ววิ่งหายเข้าไปในราวป่า
     นี่คือความเป็นคนจริงใจเด็ดของพระจักขุบาล ตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยอมนอนหยอดตาจนทำให้ท่านต้องสูญเสียตาทั้งสองข้างจนมาถึงเรื่องที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากหลานชายตนเพราะเห็นว่าหลานชายได้ประพฤติตนเป็นคนที่ขาดศีลธรรมแม้อยู่ในชายผ้าเหลืองแล้วก็ยังไม่เว้น
    จากนี้ไปแล้วพระจักขุบาลจะสามารถเดินทางต่อไปได้หรือไม่อย่างไร